ตั้งแต่เป็นช่วงที่สมาร์ทโฟนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราต้องยอมรับเลยว่าข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นข้อมูลล้ำค่า เนื่องจากว่าข้อมูลส่วนตัวของเราสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ตั้งแต่ความชอบของเรา ไปจนถึงความต้องการในการซื้อสินค้า การโฆษณา และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ส่งผลให้ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลคือปัจจัยที่สำคัญเพิ่มากขึ้นกว่าเดิม และสิ่งที่ส่งผลให้ปัจจัยนี้ควรได้รับความคุ้มครองก็คือ กฎหมาย PDPA

พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สำหรับ PDPA นั้น ต้องถือว่าเป็นพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งมีในปี 2562 และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ในวันนี่ 27 พฤษภาคมนั่นเอง ซึ่งได้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2562

ทำไมต้องมี PDPA

อีกหนึ่งเหตุผลที่เราต้องใช้ PDPA นั้นมาจากเทคโนโลยีนั้นก้าวหน้ากว่าเดิม ส่งผลให้การสื่อสาร การเชื่อมต่อข้อมูลนั้นหลากหลายกว่าเดิม ส่งผลให้การละเมิดสิทธิสวนบุคคลเพิ่มมากขึ้น นำมาซึ่งความรำคาญ และสร้างความเดือดร้อนกับเจ้าของข้อมูลได้อีกด้วย ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ สามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศได้เป็นอย่างดี จึงมีการบัญญัติกฏหมายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกมาสำหรับกำหนดหลักเกณฑ์ และกลไกต่างๆ สำหรับดูแล และกำกับการให้ความคุ้มครอง รวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เราได้รวบรวมเอาไว้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากกว่าเดิมนั่นเอง

โดยในหลายต่อหลายปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือการที่คนทั้งโลกนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องของความเป็นส่วนตัว จากข่าวที่โซเชียลเน็ตเวิร์คค่ายใหญ่นั้นถูกฟ้องเพราะว่ามีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล มาจากการที่นำข้อมูลส่วนตัวไปจำหน่าย หรือขายในเชิงลึกโดยที่ทางเจ้าตัวไม่ได้อนุญาต และส่งผลให้กฎหมาในบ้านเราได้มาใส่ใจในเรื่องนี้ ในตอนแรกได้มีการบังคับใช้ในช่วงปี 2563 แต่ต่อมาได้เลื่อนไปเป็น ปี 64  ซึ่งจะต้องดูว่าการที่กฎหมายเลื่อนไปนั้นมีนัยยะสำคัญอะไรบ้าง

หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าข้อมูลนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า เหมือนกับน้ำมันเลยก็ว่าได้ ซึ่งข้อมูลขนาดใหญ่นั้น ส่งผลให้แต่ละประเทศได้มีการออกนโยบายเพื่อคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลมากกว่าเดิม และยังมีการเยียวยาอีกด้วยหากว่าเจ้าของข้อมูลนั้นถูกนำไปใช้โดยมิชอบนั่นเอง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่คนไทยทุกคนควรใส่ใจก็คือการที่กฏหมายคุ้มครองข้อมูลของไทยเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับ pdpa คือข้อกำหนดที่จะบังคับใช้ในช่วงเวลาต่อจากนี้ ซึ่งกฎหมายนี้เป็นที่รู้กันดีว่ามีการบังคับใช้ในหลายต่อหลายประเทศแล้ว ในส่วนของรายละเอียดอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป และ สำหรับ ประเทศอื่นๆ นั้นมีดังต่อไปนี้

กฎหมายข้อมูลส่วนตัวนั้น เป็นของสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีการปรับมากที่สุดคือ 20 ล้านยูดร หรือ 6.9 ล้านบาท หรือเป็นสี่เปอร์เซ็นตฺของรายได้รวมธุรกิจ

กฎหมายลงโทษของสิงคโปร์นั้น จะปรับสูงสุด 1 ล้าน ดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 22.5 ล้านบาท

ในขณะที่กฎหมายลงโทษของมาเลเซียนั้นจะปรับห้าแสนริงกิต ส่วนของประเทศไทยนั้น มีบทลงโทษในแง่ที่ว่า มีการจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับสูงสุด 1 ล้านบาท มีการจ่ายสินไหมไม่เกินสองเท่า และโทษทางปกครอง ปรับไม่เกิน 5 ล้านบาท