ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนคอยทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง และการที่จะขับขี่ไปบนถนนที่เปียกน้ำหรือเต็มไปด้วยฝุ่นละอองอย่างปลอดภัยได้นั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องอาศัยความลึกของดอกยาง การออกแบบลวดลาย และส่วนผสมทางเคมีของดอกยาง หากความลึกของดอกยางอยู่ในระดับต่ำจะทำให้ประสิทธิภาพการเบรกและการยึดเกาะถนนลดลงเรื่อย ๆ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการลื่นไถลได้ อีกอย่างการเลือกยางรถยนต์​ ที่มีดอกยางเหมาะสมยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกด้วย เมื่อเห็นว่าดอกยางมีความสำคัญอย่างนี้แล้ว ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับดอกยางกันให้มากขึ้น ว่าดอกยางคืออะไร และดอกยางแบบไหนที่เหมาะกับสไตล์การขับขี่ของเรา

1. ดอกยาง

คือ ส่วนของหน้ายางที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลา ช่วยในการยึดเกาะถนน และมีร่องยางเป็นส่วนประกอบซึ่งถึงแม้ร่องยางจะเป็นส่วนที่ไม่ได้สัมผัสกับถนน แต่ร่องยางมีคุณสมบัติในการช่วยรีดน้ำออกจากหน้ายางเพื่อทำให้ดอกยางสัมผัสกับพื้นถนนเปียกได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

2. ประเภทของดอกยาง

ประสิทธิภาพในการขับขี่ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้ยางที่มีลักษณะดอกยางเหมาะสมกับสภาพถนน โดยรูปแบบของดอกยางนั้นจะมีให้เลือกอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน แต่ละประเภทจะถูกพัฒนามาเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน 

• ดอกยางแบบละเอียด จะมีลักษณะเป็นแนวยาวบนหน้ายางตามรอบวงยาง โดยดอกยางประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนได้ไม่มากนัก เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับการใช้งานบนพื้นถนนเรียบ 

• ดอกยางแบบบั้ง จะมีลักษณะดอกยางเป็นบั้งตามแนวขวาง ช่วยให้มีประสิทธิภาพในการตะกุยได้ดีจึง เหมาะกับการใช้งานบนพื้นถนนขรุขระ แต่ทั้งนี้ก็ยังสามารถใช้งานบนพื้นถนนทั่วไปได้แต่ต้องขับขี่ด้วยความเร็วที่ไม่สูงมากนัก

• ดอกยางแบบผสม เป็นการนำจุดเด่นของดอกยางแบบละเอียดและดอกยางแบบบั้งมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยการออกแบบให้บริเวณตรงกลางของหน้ายางเป็นดอกยางแบบละเอียด ส่วนไหล่ยางทั้งสองข้างเป็นดอกยางแบบบั้ง ส่งผลให้สามารถใช้งานได้ดีทั้งบนพื้นถนนขรุขระและทางเรียบ

• ดอกยางแบบบล็อก ลักษณะของดอกยางจะเป็นก้อน ๆ ขนาดใหญ่อยู่ห่างกันและร่องยางมีความกว้าง มีประสิทธิภาพในการตะกุยสูงเหมาะสำหรับการใช้งานแบบลุยน้ำ ลุยดินโคลน ทราย และการใช้งานแบบสมบุกสมบันในเส้นทางธรรมชาติหรือที่เรียกว่าออฟโรดนั่นเอง

3. หน้าที่ของดอกยาง

ดอกยางทำหน้าที่ยึดเกาะถนนในขณะที่ขับรถ ถ้าดอกยางไม่ลึกพอรถจะสูญเสียการยึดเกาะและต้องใช้เวลาในการเบรกนานขึ้น ร่องดอกยางตื้นจะทำให้การควบคุมรถยากขึ้นในสภาพถนนเปียกชื้นและมีโอกาสที่จะลื่นไถลได้ง่าย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรหมั่นตรวจวัดความลึกของดอกยางอยู่เสมอ ให้เหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงรักษารถตามปกติ 

4. วิธีการวัดความลึกของดอกยาง

สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยใช้เหรียญหรือไม้จิ้มฟันจิ้มลงบนตำแหน่งร่องยางที่ลึกสุดเพื่อเทียบความสูงบนสุดของหน้ายาง จะได้ค่าความลึกของดอกยางในระดับต่าง ๆ ซึ่งมีความหมายดังต่อไปนี้

• ค่าความลึก 7 - 8 มม. หมายถึง ยางมีสภาพใหม่ ยึดเกาะถนนได้ดี ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย

• ค่าความลึก 4 - 5 มม. หมายถึง ดอกยางหมดสภาพไประดับหนึ่งแล้ว แต่ยังคงสามารถใช้งานต่อได้ ควรหมั่นดูแลยางให้บ่อยขึ้น

• ค่าความลึก 3 มม. หมายถึง ดอกยางสึกไปมากแล้ว ถึงเวลาอันควรที่ต้องเปลี่ยนยางชุดใหม่ หรือต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก ๆ เมื่อต้องขับขี่ไปบนพื้นถนนเปียก

• ค่าความลึก 1.6 มม. หมายถึง ดอกยางใกล้จะหมดสภาพแล้ว ไม่สามารถยึดเกาะถนนได้อย่างที่ควรจะเป็น เสี่ยงต่อการเหินน้ำเมื่อขับไปบนถนนที่มีน้ำขัง ควรเปลี่ยนใหม่เพราะเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

5. เลือกลักษณะของดอกยางให้เหมาะกับสไตล์การขับขี่

• ดอกยาง 2 ทิศทาง เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบขับขี่ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ผู้ที่เน้นความนุ่มเงียบ

• ดอกยางแบบทิศทางเดียว เหมาะกับผู้ที่ชอบการขับขี่ที่ต้องใช้ความเร็วสูง

• ดอกยางแบบไม่สมมาตร เหมาะกับผู้ที่ต้องเดินทางไกลเป็นประจำ ต้องใช้ความเร็วในทางตรงและต้องเข้าโค้งบ่อย ๆ

เมื่อเห็นถึงหน้าที่และความสำคัญของดอกยางที่ส่งผลต่อการขับขี่แล้ว จากนี้ต่อไปก่อนทำ การ เลือก ยาง รถยนต์ ใหม่ควรต้องใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับยางรถยนต์ให้หลากหลายประเภทมากขึ้น เพราะยางรถที่ดีมีความเหมาะสมจะช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย ถ้าหากท่านกำลังต้องการเปลี่ยนยางชุดใหม่แต่ไม่รู้ว่าจะเลือก ยาง นุ่ม เงียบ ของค่ายไหนดี ขอแนะนำ ยาง รถยนต์ bridgestone​ เป็นยางรถยนต์คุณภาพ มีความคุ้มค่าและรองรับการใช้งานได้หลากหลาย ยาง จากbridgestone​สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ของคนรักรถได้ครบรอบด้านอย่างแท้จริง