|
เลือก หลอดไฟในบ้าน อย่างไรให้ลงตัวกับการใช้งาน | |
มุทิตา |
การเลือก หลอดไฟในบ้าน นั้นไม่ได้มุ่งเลือกเพื่อการให้ แสงสว่าง ภายในบ้านอย่างเดียวหากแต่ยังต้องคำนึงถึงประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ทั้งช่วยเสริมบรรยกาศของการอยู่อาศัย โดยปัจจุบันมีฟังก์ชันที่หลากหลายของหลอดไฟฟ้าที่จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์ตามความต้องการได้อย่างลงตัว การเลือกหลอดไฟฟ้าจึงต้องทำความเข้าใจประเภทของหลอดไฟฟ้าและคุณสมบัติเฉพาะให้ชัดเจนก่อน เพื่อจะตอบได้ว่าการเลือกหลอดไฟฟ้ามีวิธีการอย่างไรบ้าง ประเภทของหลอดไฟฟ้า ปกติแล้วจะมีอยู่ประมาณ 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. หลอดมีไส้ ( Incandescent Lamp) มี 2 แบบ คือ - หลอดความร้อน เป็นหลอดไฟแบบดั้งเดิมที่มีการใช้มานาน ราคาถูก ติดตั้งง่าย โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมภายนอก ค่าบำรุงรักษาต่ำและสามารถ เพิ่มแสงให้บ้าน ได้ทันทีที่เปิดสวิตต์ หากถามว่า หลอดไฟในบ้านใช้กี่วัตต์ จะมี 3 วัตต์ 25 วัตต์ 40 วัตต์และ 100 วัตต์ หลอดไฟใช้ไฟประมาณกี่วัตต์ แสงจะค่อนไปทางสีแดงเล็กน้อยแต่ข้อเสียคือกินไฟค่อนข้างมากและมีอายุการใช้งานสั้น - หลอดทังสเตนฮาโลเจน อาศัยการกำเนิดของแสงสว่างจากความร้อนที่ได้จากพลังงานไฟฟ้าที่ผ่านไส้หลอดที่ทำจากทังสเตนจนร้อนจัดแล้วเปล่งแสงออกมา กินไฟน้อยกว่าแบบแรกแต่ถือว่ายังกินไฟเยอะกว่าประเภทอื่นๆ 2. หลอดปล่อยประจุ ( Gas Discharge Lamp) มีหลายประเภท อาทิ - หลอดฟลูออเรสเซนต์ มีประสิทธิภาพของแสงและอายุการใช้งานที่ดีกว่าหลอดไส้ มีโทนสีครบทั้ง 3 แบบ ได้แก่ Warm White Cool White และ Day Light ถือเป็นหลอดที่ประหยัดไฟมากกว่าหลอดแบบไส้ - หลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดตะเกียบ ซึ่งถูกพัฒนามาแทนหลอดไส้ซึ่งช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าและให้กำลังส่องสว่างมากขึ้นแต่มี UV และสารปรอทซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้งานได้ - หลอดเมทัลฮาไลด์ เป็นหลอดไฟที่ให้ความถูกต้องของสีสูงจึงนิยมใช้ในสถานที่ที่ต้องการความถูกต้องของสีอย่างมาก เช่น ห้างสรรพสินค้าหรือสนามกีฬาที่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ เป็นต้น 3. หลอดไฟ LED ( Light Emitting Diode) เป็นหลอดไฟฟ้าที่สามารถส่องสว่างได้ทันทีโดยไม่ต้องกระพริบก่อน ทั้งประกหยัดและยังแสงสว่างกว่าประเภทอื่นๆ อีกด้วย โดยอายุการใช้งานยาวที่สุดเฉลี่ย 50,000 ชั่วโมง ที่สำคัญหลอดประเภทนี้จะไม่ปล่อยรังสี UV ปัจจุบันหลอดไฟ LED ได้ถูกพัฒนามาทดแทนหลอดไฟ 2 กลุ่มแรกได้แล้วจึงเป็นที่นิยมมากขึ้น การเลือก หลอดไฟในบ้าน ต้องคำนึงถึงตัวแปรต่าง ๆเพื่อช่วยให้เราสามารถเลือกหลอดไฟที่เหมาะที่สุด ได้แก่ 1. เลือกรูปทรงของหลอดไฟเพื่อกำหนดถึงการใช้งาน ทิศทางของ แสงสว่าง รวมถึงองศาของแสงด้วย 2. ตรวจสอบคุณสมบัติของหลอดไฟว่าให้แสงที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละห้องหรือไม่และหลอดไฟที่เลือก เพิ่มแสงให้บ้าน สว่างมากเกินไปหรือไม่ 3. อายุการใช้งานของหลอดไฟควรเลือกแบบที่มีอายุการใช้งานยาวเพื่อช่วยให้ประหยัดและไม่ต้องเปลี่ยนหลอดไฟบ่อยเกินไป 4. เลือกยี่ห้อที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าซึ่งจะมีสัญลักษณ์ มอก. กำกับอยู่บริเวณด้านข้างของบรรจุภัณฑ์ 5. ความประหยัดเป็นเรื่องสำคัญหากสามารถใช้หลอดไฟที่ให้แสงสว่างตามที่ต้องการพร้อม ๆ กับกินไฟน้อยก็จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น 6. ให้ค่าความถูกต้องของสีหรือ Color Rendering Index (CRI) ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งเป็นหลอดไฟที่ให้ค่า CRI อยู่ในระดับ 70 - 90 ทั้งนี้หากเลือกหลอดไฟที่ให้สีผิดไปจากธรรมชาติก็จะมีผลต่อการรับรู้ที่ผิดพลาดตามไปด้วย 7. เลือกระดับความสว่างให้เหมาะสมกับพื้นที่ อาทิ พื้นที่สำหรับการทำงานจำเป็นต้องมีแสงสว่างอย่างเพียงพอเพื่อให้สามารถมองเห็นวัตถุได้อย่างชัดเจน 8. เลือกหลอดไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างตามไลฟ์สไตล์ที่โปรดปรานและเลือกรูปทรงของหลอดไฟให้เหมาะสมกับการตกแต่งพื้นที่ เช่น กรณีที่เป็นห้องรับแขกต้องการแสงสว่างสม่ำเสมอควรเลือกเป็นหลอดไฟ LED ทรงกลมที่มีการกระจายแสงอย่างทั่วถึงสม่ำเสมอและไม่มีความร้อนหรือรังสี UV การเลือกประเภทหลอดไฟให้ตรงกับการใช้งานและยังช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายถือเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดในการเลือกใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวก และเพิ่มสไตล์ให้กับการอยู่อาศัยอีกด้วย |
ผู้ตั้งกระทู้ มุทิตา :: วันที่ลงประกาศ 2021-02-07 22:51:41 IP : 134.236.1.183 |
Copyright © www.bhomesproperty.com 2013 All Rights Reserved. |